โคตรเทพ! วิเคราะห์ 4 เหตุผลทำไม “เซบีย่า” ถึงไปได้สวยกับยูโรป้า
เซบีย่า ชื่อนี้การันตีได้ถึงความสำเร็จระดับสุดยอดในฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็กที่คว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2014 – 2016 และยังไม่มีทีมใดเคยทำได้มาก่อน เราลองมาดูกันว่า เพราะอะไร ทำไมทีมระดับกลางกึ่งสูงของสเปนถึงประสบความสำเร็จในรายการนี้มากมายขนาดนี้
- เสริมทัพอย่างชาญฉลาด
ใครจะคิดว่าสโมสรที่คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก 3 สมัยติดต่อกันจะเปลี่ยนแปลงทีมอย่างสม่ำเสมอ และน่าทึ่งที่จะบอกว่าเซบีย่าใช้นักเตะถึง 35 คนสำหรับนัดชิงชนะเลิศสามฤดูกาลนั้น ซึ่งเฉลี่ยแล้วจะเปลี่ยนนักเตะถึง 9 คนต่อปี และเป็นตัวเลขที่ไม่น่าดูชมเท่าไหร่นัก หลายคนออกมาวิจารณ์ความไม่สม่ำเสมอของทีมในรูปแบบนั้น หนึ่งในนั้นคือยอดกุนซืออย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ที่มักจะเก็บนักเตะชุดเดิม ๆ ไว้ใช้งานพร้อมกับชุดความคิดที่ว่าหากเสริมนักเตะเพิ่มปีละมากกว่า 3 คนจะทำให้สมดุลของทีมเสีย แต่ความเห็นของเวนเกอร์ก็มีส่วนถูก, เซบีย่าออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างเชื่องช้าในลา ลีก้าเนื่องจากการเสียนักเตะตัวหลักไปทุกปีทำให้พวกเขาต้องใช้เวลากว่าทีมจะจูนเข้าหากันได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขามักจะหาทางจูนทีมได้ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล ด้วยฟอร์มและความสดใหม่ของทีมทำให้พวกเขาทำผลงานได้ดีช่วงจบฤดูกาล นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงทำได้ไม่ดีนักในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มแต่โชว์ฟอร์มระเบิดในยูโรป้าลีก เช่นเดียวกัน พวกเขายังหาฟอร์มเก่งไม่เจอในช่วงกลางฤดูกาล
- โคตรกุนซืออย่าง มอนชี่
ในช่วงนั้นพวกเขาได้กองหน้าอย่าง อัลบาโร่ เนเกรโด้ ที่เหมือนเป็นเศษเหลือของเรอัล มาดริด ด้วยเงินเพียง 15 ล้านยูโรก่อนจะขายให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยจำนวนเงินถึง 25 ล้านยูโร เช่นเดียวกับกรณีของ คาร์ลอส บัคก้า ที่ดึงมาจากคลับ บรูชด้วยค่าตัวเพียง 10 ล้านยูโร ก่อนจะข้ายให้กับเอซี มิลานถึง 33.3 ล้านยูโร ตามมาด้วย เควิน กาไมโร่ ที่ดึงมาจากปารีส แซงต์-แชร์กแมงด้วยค่าตัว 7.5 ล้านยูโร ก่อนจะขายให้กับแอตเลติโก มาดริดพร้อมฟันกำไรอย่างงามด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร ถือเป็นวัฏจักรที่ผู้จัดการทีมในขณะนั้นอย่าง อูไน เอเมรี่ ต้องรับสภาพ แต่ด้วยการสนับสนุนของผู้อำนวยการสโมสรอย่าง ราม่อน รอดริเกซ เบร์เดโฆ่ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า ‘มอนชี่’ ทำให้งานของเขาง่ายขึ้นจมหู อย่างไรก็ตามในการให้สัมภาษณ์กับ เดอะ การ์เดี้ยน มอนชี่ระบุว่าความสำเร็จของทีมต้องมาก่อนโดยยกตัวอย่างกรณีของ อดิล รามี่ ว่า “การคว้าแชมป์ทำให้เรามีชื่อเสียง แล้วมันค่อยส่งผลกระทบด้านการเงินในเวลาต่อมา
- แกร่งในบ้าน
เซบีย่าโชว์ฟอร์มได้สม่ำเสมอเมื่อลงเล่นในสนามราม่อน ซานเชซ ปิซฆวนที่มีแฟนบอลเข้ามาชมเกมด้วยตัวเลขเฉลี่ยถึง 45,000 ที่นั่ง และเป็นทีมเดียวที่เอาชนะบาร์เซโลน่าและเรอัล มาดริดได้ในฤดูกาลนั้น (2015/16) เมื่อลงเล่นในบ้านตัวเอง ถึงแม้ฟอร์มในบ้าน (ชนะ 14, เสมอ 1, แพ้ 4) จะขัดแย้งกับนอกบ้านอย่างสิ้นเชิง (ชนะ 0, เสมอ 9, แพ้ 10) พวกเขาก็ยังจบอันดับที่ 7 ในตารางคะแนนและเมื่อพิจารณารูปแบบการแข่งขันไปกลับอย่างรายการนี้ ทำให้พวกเขาคว้าความได้เปรียบเกมในบ้านไปแบบเต็ม ๆ เพราะมีผลประตูรวมในบ้าน 4 นัดรอบน็อคเอาต์อยู่ที่ 10-3 แบ่งเป็นชนะ 3 แพ้ 1 (ซึ่งสุดท้ายแล้วก็เข้ารอบด้วยการดวลลูกจุดโทษตัดสิน)
- อูไน เอเมรี่
การเสริมทัพและแฟนบอลจะไม่ส่งผลใด ๆ หากไร้หัวเรือใหญ่ที่พาทีมลงสนามได้อย่างถูกทิศทาง อูไน เอเมรี่ คือคนที่ต้องรับหน้าที่ปรับเปลี่ยนและเล่นแร่แปรธาตุนักเตะที่เปลี่ยนไปแทบจะทุกปีจนสามารถคว้าแชมป์ได้สามปีติดต่อกัน ทราบกันดีว่าเซบีย่าทำอันดับได้ไม่ดีเท่าที่ควรในลา ลีก้าเพราะพวกเขาล้มเหลวในการทำอันดับไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกทุกฤดูกาลที่เขาคุมทีม แต่ด้วยบารมีแชมป์ยูโรป้าลีกทำให้พวกเขาได้โควต้าไปเล่นบอลยุโรปถ้วยใหญ่ทุกปีเช่นกัน นอกเหนือจากแทคติคอันชาญฉลาด เอเมรี่ยังสร้างกลยุทธ์ที่ลงตัวกับการแข่งขันในรอบน็อคเอาต์ นั่นคือ ‘เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์’ แต่เจ้าตัวต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนผู้เล่นแนวรับอยู่ตลอดเวลาทำให้พวกเขาต้องเสียประตูถึง 50 ลูกในฤดูกาลนั้น (2015/06) ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีในการต่อสู้แย่งแชมป์ลีก
ปัจจัยในการทะลวงประตูส่วนหนึ่งมาจากสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง พวกเขาไม่ใจเสียเมื่อต้องเสียประตู เพราะพวกเขามั่นใจในคุณภาพของเกมรุกที่เชื่อว่าสามารถทวงประตูกลับมาได้ทุกเมื่อ ยกตัวอย่างในเกมนัดชิงกับลิเวอร์พูลที่ถึงแม้พวกเขาจะโดน แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ยิงขึ้นนำไปก่อน แต่ก็สามารถแซงได้จากประตูของกาไมโร่และโคเก้